วันเดินทาง
สายการบิน


พิเศษ!! ร่วมทริปกับกูรูด้านการท่องเที่ยว  “กาญจนา  หงษ์ทอง”

พิเศษ!! **ราคารวมทิปไกด์ท้องถิ่น และคนขับรถแล้ว**

  • ชม เมืองแบกแดด เป็นเมืองหลวงของประเทศอิรัก เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในอิรัก และเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอาหรับ
  • ชม พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอิรัก (National Museum of Iraq)
  • ชมเมืองโบราณบาบิโลน 1 ใน7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสวนลอยแห่งบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon)
  • ชม มัสยิดแห่งซามาร่า (The Great Mosque of Samarra) มัสยิดเก่าแก่ ในสมัยศตวรรษที่ 9
  • ชมเมืองศักดิ์สิทธิ์ กาบาร่า (Karbara)
  • ชมวังของซัดดัม ฮุสเซน (Saddam Hussein’s former Palace)
  • ชมเมืองนาจาฟ (Najaf) เมืองศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมนิกายชีอะห์
  • ชมเมืองโบราณอูร์ (Ur) เมืองต้นกำเนิดอารยธรรมสุเมเรียนของชาวซูเมอร์ (Sumer)
  • ล่องเรือในหนองน้ำแห่งลุ่มแม่น้ำไทกริส (Mesopotamian Marshes) เพื่อชมสภาพความเป็นอยู่ของคนท้องถิ่นที่หาชมได้ยาก
  • ชมบริเวณที่เชื่อว่าเป็น สวนอีเดน (Garden of Eden) ชม ต้นไม้ของอาดัม (Adam Tree) ในประวัติศาสตร์ของ 3 ศาสนา
  • ช๊อปปิ้งตามอัธยาศัยในตลาดพื้นเมือง หลากหลายแห่ง

 

อิรัก ดินแดนแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก นำท่านเดินทางสู่แบกแดด เมืองหลวง ผ่านทะเลทราย มุ่งสู่เมืองโบราณอายุหลายพันปี ที่เต็มไปด้วยตำนานอย่างอูร์ และบาบิโลน ให้ท่านได้สัมผัสสภาพบ้านเมืองที่ผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมาย วิถีชีวิตผู้คน และร่องรอยอารยธรรมโบราณ ผ่านซากโบราณสถาน ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก มาร่วมสัมผัสอิรักในมุมมองที่คุณไม่เคยรู้กับเรา…

1

Day 1: กรุงเทพฯ (สุวรรณภูมิ)

  • 22.30 น. คณะพร้อมกัน ณ สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออก โดยมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ คอยให้การต้อนรับและตรวจเอกสารการเดินทาง ณ เคาน์เตอร์สายการบิน Qatar Airways ชั้น 4 แถว Q ประตู 8
2

Day 2 : กรุงเทพฯ – โดฮา – แบกแดด

  • 01.45 น. ออกเดินทางสู่ เมืองโดฮา  โดย สายการบิน Qatar Airways เที่ยวบินที่ QR 837
  • 05.25 น. เดินทางถึง สนามบินเมืองโดฮา รอต่อเครื่องที่สนามบิน
  • 07.55 น. ออกเดินทางสู่ เมืองแบกแดด โดย สายการบิน Qatar Airways เที่ยวบินที่ QR 444
  • 10.10 น. เดินทางถึง สนามบินเมืองแบกแดด นำท่านผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร
  • แบกแดด  เป็นเมืองหลวงของประเทศอิรัก มีประชากรในเขตมหานครประมาณ 7,000,000 คน เป็นเมืองใหญ่ที่สุดในอิรัก และแบกแดดเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอาหรับ (รองจากไคโร) และใหญ่เป็นอันดับสองในเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ (รองจากเตหะราน)
  • แบกแดด เมื่อแรกสร้างในปี พ.ศ. 1305 โดยอดีตคอลีฟะห์ อัล-มันซูร์ แห่งราชวงศ์อับบาซียะห์ ได้สร้างเมืองใหม่ที่หมู่บ้านแบกแดด และให้ชื่อเมืองใหม่นี้ว่า มะดีนะห์ อัล-ซาเลม ซึ่งหมายถึง เมืองแห่งสันติ ซึ่งในขณะนั้น อัล-มันซูร์ ได้เกณฑ์ช่างมาจากที่ต่างๆ ทั้งจาก อียิปต์ เปอร์เซีย เมโสโปเตเมีย และซีเรีย ใช้เวลาสร้างนานร่วม 4 ปี โดยวางผังเมืองให้มีลักษณะคล้ายป้อมปราการทรงกลมขนาดใหญ่ เมืองแบกแดดมีความเจริญรุ่งเรืองมาก ได้เป็นศูนย์กลางทางด้านวิทยาการ มีการนำความรู้ที่เป็นภาษากรีก ภาษาละติน ภาษาเปอร์เซีย ภาษาฮินดีมาแปลเป็นภาษาอาหรับ ทำให้แบกแดดมีความเจริญก้าวหน้าทางด้านโคลงกลอนจากเปอร์เซีย ทางด้านดาราศาสตร์และคณิตศาสตร์จากอินเดีย การแพทย์และวิทยาศาสตร์จากกรีก แต่ด้วยการรุกรานและผ่านเหตุการณ์สงครามหลายครั้ง ทำให้แบกแดดมีสภาพทรุดโทรม  แม้จะได้รับการบูรณะให้เป็นเมืองสมัยใหม่ แต่ในแบกแดดก็ยังมีโบราณสถานอยู่หลายแห่งเพราะเป็นเมืองเก่าที่อยู่ในเขตอารยธรรมเมโสโปเตเมีย มีความพยายามที่จะพัฒนาให้เป็นศูนย์ประวัติศาสตร์ตั้งแต่ พ.ศ. 2519 จนปัจจุบัน
  • นำท่านชม จัตุรัสอิสระภาพ (Liberation square monument) หรือที่รู้จักกันในชื่อ จัตุรัสทาเรีย (Tahrir Square) ตั้งอยู่ในใจกลางกรุงแบกแดด เป็นจัตุรัสกลางที่ใหญ่ที่สุดของกรุงแบกแดด ตั้งอยู่ในย่าน อัล รุซาฟา (Al-Rusafa) ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไทกริส มีอนุสาวรีย์ที่ระลึกถึงการก่อตั้งสาธารณรัฐอิรัก อนุสาวรีย์นี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ Nasb al-Hurriyah แสดงเรื่องราวการฉลองและเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่การสร้างสาธารณรัฐอิรัก ออกแบบและก่อสร้างโดยปฎิมากรชาวอิรัก ชื่อ Jawad Saleem เปิดตัวในปีค.ศ. 1961

  • 12.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
  • 13.00 น. นำท่านชม อนุสาวรีย์ อัล ชาฮิด (Al – Shaheed Monument) หรือที่รู้จักกันในนาม อนุสรณ์สถานผู้พลีชีพ (Martyr’s Monument) เป็นอนุสาวรีย์ที่ระลึกถึงทหารผู้พลีชีพในสงครามอิรัก – อิหร่าน นอกจากนั้น ยังถือว่าเป็นอนุสาวรีย์ที่ระลึกถึงผู้เสียสละของอิรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นพันธมิตรกับอิหร่านและซีเรียที่กำลังต่อสู้กับ ISIS ไม่ใช่แค่สงครามอิรัก – อิหร่านเท่านั้น อนุสาวรีย์ได้รับการออกแบบโดยประติมากรชาวอิรัก ชื่อ อิสมาอิล ฟาตาห์ อัล เติร์ก (Ismail Fatah Al Turk)  สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1981 และแล้วเสร็จในปี 1983

 

  • นำท่านชม มัสยิด ชีค อับดุล กอดีร์ อัลจีลานีย์ (Sheikh Abdul qadir algilani mosque) เป็นศาสนสถานอิสลามในนิกายซุนนี่ห์ ที่อุทิศแด่ อับดุล กอดีร์ อัลกีลานีย์ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนศาสนา มีจัตุรัสโดยรอบ ชื่อว่า Kilani Square อาคารประกอบด้วยมัสยิด สุสาน และห้องสมุดที่รู้จักกันในชื่อ Qadiriyya Library ซึ่งเป็นที่เก็บรวบรวมผลงานเก่าหายาก ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของศาสนาอิสลาม
  • ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร / โรงแรม
  • พักที่ PALESTINE HOTEL โรงแรมมาตรฐาน 4 ดาว หรือเทียบเท่า
3

Day 3 : แบกแดด - เทซิฟอน - แบกแดด

  • เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
  • นำท่านชม พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอิรัก  (National Museum of Iraq)  พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอิรักเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในอิรัก เนื่องจากเป็นสถานที่รวบรวมโบราณวัตถุที่สำคัญตั้งแต่อารยธรรมเมโสโปเตเมีย และบาบิโลน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เพิ่งเปิดตัวเมื่อปีค.ศ. 2015 หลังจากปิดช่วงสงครามอิรักนาน 12 ปี พร้อมกับโบราณวัตถุกว่า 6,000 ชิ้น จากทั้งหมด 15,000 ชิ้น ซึ่งบางส่วนได้ถูกขโมยไปในช่วงสงครามอิรักหลายครั้ง

  • นำท่านชม โรงเรียนสอนศาสนา อัล มุสตานซิริยาร์ (Al – Mustansiriya School) ซึ่งเป็นโรงเรียนในยุคกลางที่เก่าแก่ที่สุดในโลก สอนวิชาต่าง ๆ มากมาย ทั้งเภสัชศาสตร์ คณิตศาสตร์ วรรณกรรม ไวยากรณ์ ปรัชญา และอิสลามศึกษา อย่างไรก็ตาม ที่นี่ได้เน้นหลักในเรื่องการสอนกฎหมายอิสลาม และเป็นศูนย์กลางการศึกษาอิสลามที่สำคัญที่สุดในกรุงแบกแดด ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1227 โดย อับบาซิด กาหลิบ อัล มุสตาเซีย (Abbasid Caliph al-Mustansir) ที่นี่เป็นตัวอย่างที่สำคัญของการพัฒนาสถาปัตยกรรมอิสลามในแบกแดด ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของคณะกรรมการโบราณวัตถุในอิรัก

  • 12.00 น. รับประทานอาหาร ณ ภัตตาคาร
  • 13.00 น.  นำท่านออกเดินทางเพื่อไปเยี่ยมชม เมืองโบราณเทซิฟอน (Ctesiphon) ซึ่งเป็นเมืองโบราณที่ตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของแม่น้ำไทกริส ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ห่างจากกรุงแบกแดด 35 กิโลเมตร ปัจจุบันหลงเหลือเพียงซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างต่างๆ รวมถึงตัวพระราชวัง อันเป็นผลมาจากการทำสงครามและภัยพิบัติทางธรรมชาติ เดิมเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิพาร์เธียน (Parthian Empire) ในช่วง 58 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมากลายเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิซัสซาเนียน (Sassanian Empire) และจักรวรรดิเปอร์เซีย (Persian Empire) เป็นจักรวรรดิสุดท้ายที่ได้ครองดินแดนแห่งนี้ ก่อนที่จะตกเป็นของกลุ่มกองกำลังในนามมุสลิมพิชิตเปอร์เซีย (The Muslim conquest of Persia) ในปีคริสตศักราช 651
  • นำท่านชม ทัก-อี-เกสร่า (Taq-e-Kesra) ห้องโถงขนาดใหญ่ ซึ่งในอดีตเป็นพระราชวังของกษัตริย์โคสร่า ที่ 1 ของอาณาจักรซัสซาเนียน (Sasanian Khosra I) พระองค์ขึ้นครองราชย์ในช่วงปี ค.ศ. 241 – 272 ปัจจุบันเหลือเพียง ซุ้มประตูขนาดมหึมา ซึ่งเป็นงานก่ออิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก

  • ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารของโรงแรม
  • พักที่ PALESTINE HOTEL โรงแรมมาตรฐาน 4 ดาว หรือเทียบเท่า
4

Day 4 : ซามาร่า - กาบาร่า

  • เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
  • นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองซามาร่า (Samarra) ซึ่งเป็นเมืองทางตอนเหนือของอิรัก ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำไทกริส ในเขตจังหวัดซาลาดีน (Saladin) ห่างจากกรุงแบกแดดไปทางทิศเหนือ 125 กม. เส้นทางจะผ่านจุดตรวจกองทหารอาสาสมัครหลายแห่ง ที่หมู่บ้านหลายแห่งถูกทำลายระหว่างการต่อสู้กับ ISIS
  • นำท่านชม มัสยิดแห่งซามาร่า (The Great Mosque of Samarra) ซึ่งเป็นมัสยิดเก่าแก่ สร้างในสมัยศตวรรษที่ 9 โดยเริ่มสร้างในปี ค.ศ. 848 และเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 851 สร้างโดยกาหลิบ อัล มูตาวัคคิล (Caliph Al-Mutawakkil) ราชวงศ์อับบาสิด (Abbasid) ซึ่งพระองค์เป็นผู้ปกครองในแคว้นซามาร่า ในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ. 847 จนถึงปี ค.ศ. 861 ซึ่งนับเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงเวลานั้น โดยมี หอคอยสุเหร่า มัลวิย่า (Malwiya Minaret) หรือ หอคอยสุเหร่าทรงหอยทาก (The Snail Shell Minaret) ที่สูงถึง 52 เมตร และกว้าง 33 เมตร พร้อมทางเดินเป็นบันไดขดเป็นเกลียวทอดยาวไปถึงด้านบนตามความสูงของหอคอย ซึ่งเป็นจุดเด่นของสถานที่แห่งนี้

  • เที่ยง รับประทานอาหาร ณ ภัตตาคาร
  • นําท่านออกเดินทางมุ่งหน้าลงใต้ไปทางเมืองแบกแดด เพื่อไปชมซากโบราณสถานทรงปิรามิดอะการ์กูฟ ซิกกูรัต (Agargouf  Ziggurat) ที่เมืองเดอร์กูริเกาซู (Dur-Kurigalzu) ซึ่งเป็นเมืองทางตอนใต้ของเมโสโปเตเมียใกล้กับจุดบรรจบของแม่นํ้าไทกริส (Tigris) และแม่นํ้าดียาล่า (Diyala) ประมาณ 30 กิโลเมตร ทางตะวันตกของใจกลางกรุงแบกแดดก่อตั้งโดยกษัตริย์แคส ไซท์ (Kassite) แห่งบาบิโลน ราชวงศ์กูริเกาซูที่ 1 (Kurigalzu I) ในช่วงศตวรรษที่ 14 ก่อนคริสต์กาลและถูกทิ้งร้างหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์แคสไซท์

  • จากนั้น นำท่านเดินทางลงใต้ เพื่อไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ กาบาร่า (Karbara) ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอิรัก ห่างจากกรุงแบกแดดประมาณ 100 กิโลเมตร ซึ่งชาวมุสลิมชีอะห์ถือว่าเมืองนี้เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากับ เมกกะ เมดีน่า และเยรูซาเล็ม ชาวมุสลิมชีอะห์หลายล้านคนมาแสวงบุญที่นี่ปีละ 2 ครั้ง

 

  • ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร/โรงแรม
  • พักที่ RAYHAAN KARBALAA BY ROTANA HOTEL โรงแรมมาตรฐาน 4 ดาว หรือเทียบเท่า
5

Day 5 : กาบาร่า – บาบิโลน - นาจาฟ

  • เช้า รับประทานอาหารเช้าแบบกล่อง
  • นำท่านชม มัสยิดและหลุมฝังศพ อิหม่ามฮุซัยน์ (Imam Husayn Ibn Ali Shrine) ซึ่งเป็นบุตรของท่านอาลี ที่เสียชีวิตในการต่อสู้ระหว่าง 2 นิกายของศาสนาอิสลาม (คือนิกายซุนนี่ และ ชีอะห์) ในมัสยิดมีหลุมฝังศพ อัล-อับบาส (Al Abbas) ซึ่งเป็นหลานท่านนบี มุฮัมหมัด ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์เดียวกัน โดยมัสยิดทั้งสองอย่างถือเป็นมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมชีอะห์ ที่ต้องมาแสวงบุญที่นี่
  • นำท่านชม ป้อมปราการ อัล อูไคเดีย (Al Ukhaidir Fortress) หรือ พระราชวังอับบาซิดแห่งอูไคเดอร์ ตั้งอยู่ประมาณ 50 กม. ทางตอนใต้ของเมืองคาบาร่า เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่สร้างขึ้นในปีค.ศ. 775 ด้วยรูปแบบการป้องกันที่เป็นเอกลักษณ์

  • เที่ยง รับประทานอาหาร ณ ภัตตาคารอาหาร
  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองโบราณบาบิโลน (Babylon) ห่างจากกรุงแบกแดด 123 กิโลเมตร เป็นเมืองโบราณที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมโสโปเตเมีย เดิมเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรบาบิโลเนีย (Babylonia Kingdom) ซึ่งเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็ง มีการปกครองแบบรวมศูนย์ มีการเก็บภาษีอากร และมีการเกณฑ์ทหาร ต่อมาถูกพวกฮิตไทต์ (Hittite) เข้าปล้นสะดมเมื่อ 1590 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกคาลเดียน (Chaldean) ซึ่งเป็นชนเผ่าฮีบรู สามารถเข้ายึดกรุงนิเนเวห์ได้สำเร็จ และสถาปนากรุงบาบิโลนขึ้นเป็นเมืองหลวงอีกครั้ง และตั้งเป็นอาณาจักรบาบิโลเนียขึ้นมาใหม่ ทำให้อาณาจักรนี้มีความเจริญรุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะในสมัย พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ (Nebuchadnezzar) พวกคาล เดียนสามารถยกกองทัพไปตีเมืองเยรูซาเล็ม และต้อนเชลยชาวยิวมายังกรุงบาบิโลน และยังมีการสร้างสวนขนาดใหญ่ เรียกว่า สวนลอยแห่งบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon) ซึ่งถือได้ว่าเป็น สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ โดย พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ที่ 2 แห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย ได้สร้างสวนแห่งนี้ให้แก่มเหสีของพระองค์ ชื่อ พระนางเซมีรามีส ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช แต่ต่อมาได้ถูกทำลายเนื่องจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่จนเหลือแต่เพียงซากเท่านั้น ในช่วงสมัยของซัดดัม ฮุสเซน ได้บูรณะสถานที่แห่งนี้ใหม่ทั้งหมด แต่การบูรณะทำไม่ถูกหลักของการบูรณะโบราณสถานในระดับสากล จึงทำให้ดูไม่สวยงามน่าประทับใจดังเดิม หากแต่ความสำคัญของสถานที่นี้ในอดีตนั้นยิ่งใหญ่มาก อย่างน้อยก็เป็นสถานที่ที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสิ้นพระชนม์ในห้องท้องพระโรงในอดีต ซึ่งพระศพของพระองค์ ถูกล้อมรอบด้วยนายพลทหารรอบกายที่เศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของมหาราชผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรพระองค์นี้ ปัจจุบัน สวนลอยฟ้าแห่งนี้อยู่ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้นที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาจากองค์การยูเนสโก

  • ชม ประตูอิชตาร์ (จำลอง) (Ishtar Gate) ที่มีชื่อเสียง ซึ่งปัจจุบันประตูของจริงได้มีการจัดแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑ์เปอร์กามอน (Pergamon Museum) ในกรุงเบอร์ลิน แต่ที่นี่ท่านจะเห็นประตูอิชตาร์จำลอง และโครงสร้างเดิมของประตู ที่มีการแกะสลักที่งดงาม

  • นำท่านชมบริเวณด้านหลังของบาบิโลน ซึ่งเป็นที่ตั้งของ วังของซัดดัม ฮุสเซน (Saddam Hussein’s former Palace) ในอดีตเคยเป็นหนึ่งในพระราชวังที่สวยที่สุดของซัดดัม ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่เหนือทิวทัศน์อันงดงามของแม่น้ำยูเฟรติส หากแต่สภาพปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพังของหอคอย และอาคารวังเก่าที่ทรุดโทรม เพราะถูกชาวบ้านมาปล้นขโมยทุกสิ่งทุกอย่างที่มีค่าไปหมด แม้กระทั่งหลอดไฟหลอดสุดท้าย และตามผนังห้องก็เต็มไปด้วยการพ่นสี เขียนข้อความต่างๆ หรือที่เรียกว่า กราฟิตี้ นั่นเอง ขนาดอันใหญ่โตมโหฬารและร่องรอยความงดงามที่ยังหลงเหลือของวังแห่งนี้ สะท้อนให้เห็นความมั่งคั่งของซัดดัม ในสมัยที่ยังเรืองอำนาจ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่เคยมีโอกาสที่จะมาอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ

  • จากนั้น นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองนาจาฟ (Najaf) เมืองศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม และเป็นเมืองต้นกำเนิดของศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ เป็นที่ตั้งของสุสานของอิหม่ามอาลี รวมทั้งเหล่าบรรดาญาติและลูกเขยของศาสดามูฮัมหมัด และสุสานของกาหลิบองค์ที่ 4 (ช่วงปี ค.ศ. 656 – 661)
  • นำท่านชม มัสยิดและหลุมฝังศพ อิหม่ามอาลี (Imam Ali Mosque) ซึ่งเป็นที่ฝังพระศพของอิหม่าม อาลี ซึ่งเป็นญาติของท่านมูฮัมหมัด และชาวชีอะห์ยังเชื่อว่าภายในมัสยิดเป็นที่ฝังร่างของอดัม และนูห์ หรือ โนอาห์ อีกด้วย ในแต่ละปีมีชาวมุสลิมนิกายชีอะห์มาแสวงบุญที่นี่เป็นจำนวนมาก

  • ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร/โรงแรม
  • พักที่ BARADA HOTEL โรงแรมมาตรฐาน 3 ดาว หรือเทียบเท่า
6

Day 6 : นาจาฟ – อูร์ - นาซิริย่า

  • เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
  • นำท่านชม สุสานวาดี อัล-ซาลาม (Wadi Al-Salaam Cemetery) เป็นสุสานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ 1,485.5 เอเคอร์ เป็นสุสานที่ฝังร่างชาวมุสลิมหลายล้านคน ซึ่งรวมถึงผู้นำสารของพระอัลเลาะห์อย่าง อะลี อิบน์ อะบี ฏอลิบ (Ali ibn Abi Talib) สามีของฟาฏิมะฮ์ (Fatimah Zahra) ซึ่งเป็นลูกสาวของศาสดามูฮัมมัด (Muhammad) เป็นต้น ปัจจุบัน สถานที่แห่งนี้อยู่ในบัญชีรายชื่อเบื้องต้นที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาจากองค์การยูเนสโก

  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองคูฟา (Kufa) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองนาจาฟ 10 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในห้าเมืองของประเทศอิรัก ที่มีความสำคัญต่อชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ อันได้แก่ เมืองซามาร่า, คาบาร่า, แคชดิมิยาร์, นาจาฟ และคูฟา
  • นำท่านชม  ป้อมปราการและพระราชวัง อิมาร่า (Al-Imara Fort and Palace) และบริเวณภายนอกของ บ้านพักอิหม่ามอาลี (House of Imam Ali Ibn Abi Taleb) เป็นบ้านที่สร้างจากอิฐโคลน และมีการบูรณะหลายครั้ง โดยใช้หินเป็นส่วนประกอบให้โครงสร้างบ้านแข็งแรง ภายในมีการจัดแสดงเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันของอิหม่ามอาลี
  • จากนั้น นำท่านชม มัสยิดแห่งคูฟา (Grand Mosque of Kufa) สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 7 สถาปัตยกรรมอาคารด้านนอกประดับด้วยทองคำ เงิน และอัญมณีต่างๆ เช่น ทับทิม พลอย เพชร ภายในมัสยิดทั้งหมดมี อัลกุรอานภาษาอาหรับ ที่สลักด้วยทองคำ และพื้นลานกว้างปูด้วยหินอ่อนสีขาว นำเข้าจากประเทศอินเดีย ที่นี่ถือว่าเป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

  • เที่ยง รับประทานอาหาร ณ ภัตตาคารอาหาร
  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองโบราณอูร์ (Ur) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองนาจาฟ 272 กิโลเมตร เป็นเมืองต้นกำเนิดอารยธรรมสุเมเรียนของชาวซูเมอร์ (Sumer) ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 3,800 ปีก่อนคริสตกาล
  • นำท่านชม ซิกกูรัตแห่งอูร์ (Ziggurat of Ur) สร้างขึ้นด้วยลักษณะคล้ายกันกับหอคอยแห่งบาเบล (Tower of Babel) ที่ถูกกล่าวถึงในพระคัมภีร์ รวมทั้งกลุ่มอาคารวิหาร ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการบวงสรวงเทพเจ้า ซึ่งชาวซูเมเรียนเชื่อกันว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าซิน หรือ เทพเจ้านันนา (God Sin or God Nanna) ซึ่งเป็ฯเทพแห่งดวงจันทร์ ใจกลางของซิกกูรัตมีซากปรักหักพัง ที่คาดว่าน่าจะเป็นวิหารสำหรับใช้เป็นศูนย์กลางในการบริหารเมือง แหล่งโบราณคดีเมืองอูร์แห่งนี้ เชื่อกันว่า เป็นบ้านเกิดของศาสดาอับราฮัม

  • นำท่านชม สุสานหลวงราชวงศ์ สุเมเรียน (Royal Cemetery at Ur) โบราณสถานแห่งนี้ค้นพบโดย ลีโอนาร์ด วูลเลย์ (Leonard Woolley) นักโบราณคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษ และมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ให้ทำการขุดเจาะสำรวจพื้นที่ตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1922 ถึง 1934 พิธีการฝังพระศพของราชวงศ์สุเมเรียน แตกต่างไปจากอารยธรรมอื่นๆ เมื่อกษัตริย์ของราชวงศ์สิ้นพระชนม์แล้ว ข้าราชบริพารที่เคยรับใช้กษัตริย์จะต้องถูกฝังพร้อมกับกษัตริย์ด้วย เนื่องจากความเชื่อที่ว่า ข้าราชบริพารนั้นจำเป็นต้องติดตามรับใช้กษัตริย์ในโลกหน้า ดังนั้นสุสานแห่งนี้ จึงมีการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ในหลุมโดยรอบสุสานหลวง จำนวน 78 ร่าง บางแห่งพบภาชนะคล้ายถ้วยขนาดเล็กอยู่ใกล้โครงกระดูก จึงเป็นข้อสันนิษฐานของนักโบราณคดีว่า ข้าราชบริพารบางส่วน อาจจะสมัครใจดื่มยาพิษเอง แต่ก็มีบางโครงกระดูกที่พบร่องรอยของการทุบตีด้วยของแข็งจนเสียชีวิตเช่นกัน อันเป็นผลมาจากการปฎิเสธที่จะดื่มยาพิษด้วยตนเอง และที่นี่ได้ค้นพบโบราณวัตถุที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มากมาย อาทิ เครื่องประดับทำจากทอง เงิน อัญมณี และโลหะ เครื่องปั้นดินเผา และเครื่องดนตรี เป็นต้น

  • จากนั้นนำท่านเดินทางต่อไปยัง เมืองนาซิริย่า (Nasiriyah) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดดิห์การ์ (Dhi-Qar) ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับ ซากเมืองโบราณอูร์ (Ur) บนบริเวณแม่น้ำน้ำยูเฟรติส เมื่อเดินทางถึงเมืองนาซิริย่า ก่อนรับประทานอาหารเย็น พาท่านเดินเล่นใน ตลาดท้องถิ่น (Souq) ของเมืองนาซิริย่า ที่มีบรรยากาศคึกคัก ผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของกันมากมาย

  • ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
  • พักที่ GOUDIA HOTEL โรงแรมมาตรฐาน 3 ดาว หรือเทียบเท่า
7

Day 7 : นาซิริย่า - บาสร่า

  • เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
  • นำท่านเดินทางสู่ เมืองบาสร่า (Basra) ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดทางใต้ของอิรัก และเป็นเมืองเดียวที่มีท่าเรือทางทะเล

  • ชม เมืองเก่าบาสร่า (Basrah Old Town) ซึ่งมีสถานที่สำคัญต่างๆมากมาย อาทิเช่น มัสยิด อิหม่ามอาลี แห่งบาสร่า (Imam Ali Mosque of Basrah) เป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุด นับตั้งแต่มีการก่อตั้งศาสนามุสลิมขึ้นมา ก่อสร้างขึ้นในปีคริสต์ศักราช 635 ปัจจุบันหลงเหลือเพียงแค่บางส่วนของมัสยิดเท่านั้น แต่ถือว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของเมืองนี้ นอกจากนี้ ยังเป็นที่ตั้งของอาคารบ้านเรือนที่ตั้งอยู่ 2 ฝั่งตามแนวของแม่น้ำบาสร่า อาคารส่วนใหญ่ก่อสร้างโดยใช้สถาปัตยกรรมแบบออตโตมันดั้งเดิม (Ottoman Shenashil) ซึ่งสะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองในอดีตของเมืองบาสร่า ปัจจุบันอาคารส่วนใหญ่ถูกทิ้งให้รกร้างว่างเปล่า บางแห่งหลงเหลือเพียงซากปรักหักพัง อันเป็นผลมาจากภัยสงครามที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่แห่งนี้ หากเป็นไปได้จะนำท่านเข้าเยี่ยมชม หนึ่งในอาคารเก่าแก่ Shenashil House ซึ่งเจ้าของเป็นพ่อค้าชาวกรีกผู้มั่งคั่งในศตวรรษที่ 19
  • นำท่านชม ตลาดพื้นเมือง (Souq) ของเมืองบาสร่า ที่มีบรรยากาศคึกคัก ผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อของกันมากมาย

  • เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร
  • นำท่านชม พระราชวังของซัดดัม ฮุสเซน (Saddam Hussein Palace) ในย่าน Shat Al Arab Banks ชมร่องรอยความหรูหราฟุ่มเฟือย ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นชีวิตจริงของอดีตผู้นำคนสำคัญ “ซัดดัม ฮุสเซน” (Saddam Hussein) เป็นอดีตประธานาธิบดีของอิรัก ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี ค.ศ. 1579 ในฐานะประธานาธิบดี ซัดดัมได้พัฒนาลัทธินิยมตัวผู้นำอย่างบ้าคลั่ง ปกครองรัฐบาลเผด็จการ และกุมอำนาจไว้ได้แต่เพียงผู้เดียว ซัดดัมได้จัดการกับการเคลื่อนไหวที่มีแนวโน้มเป็นภัยคุกคาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพวกชนกลุ่มน้อย เช่น  ชาวเคริ์ด หรือกลุ่มทางศาสนาที่ต้องการเรียกร้องอิสรภาพ หรือการปกครองตนเอง แต่อย่างไรก็ตามเขายังคงเป็นวีรบุรุษที่ประชาชนอิรักชื่นชม เขาโดดเด่นในหมู่ผู้นำอาหรับอื่นๆ ในฐานะผู้ที่ลุกขึ้นต่อต้านสหรัฐฯ และชาติอื่นๆในประชาคมโลก ยังคงเฝ้าระวังจับตามองซัดดัมด้วยความหวาดระแวง ว่ามีอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงไว้ในครอบครอง แต่ในที่สุดชะตากรรมของเขาได้จบลง หลังถูกจับกุมและถอดออกจากตำแหน่ง โดยกองกำลังนานาชาติ ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาในสงครามอิรัก และท้ายสุด ซัดดัมต้องจบชีวิตด้วยโทษประหาร โดยการถูกแขวนคอ จากคดีอาชญากรรมต่างๆ ที่เขาก่อขึ้น ในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2006
  • จากนั้น นำท่านเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์บาสร่า (Basrah Museum) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ของพระราชวังเดิมของซัดดัม ฮุสเซน จัดแสดงเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย อารยธรรมบาบิโลเนีย อารยธรรมเปอร์เซีย และเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเมืองบาสร่า
  • ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร
  • พักที่ SHAMS AL BASRAH HOTEL โรงแรมมาตรฐาน 4 ดาว หรือเทียบเท่า
8

Day 8 : บาสร่า - สวนอีเดน - บาสร่า

  • เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
  • นำท่านออกเดินทางสู่ บึงหนองน้ำลุ่มแม่น้ำไทกริส (Mesopotamian Marshes) เพื่อล่องเรือไปตามหนองน้ำ บนลุ่มแม่น้ำไทกริส ซึ่งจัดเป็นหนึ่งในระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์และมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก บรรยากาศโดยรอบสวยงาม เป็นสภาพธรรมชาติแวดล้อมที่หาชมได้ยาก เพราะที่นี่มนุษย์อาศัยอยู่ร่วมเคียงข้างกับธรรมชาติและสัตว์ต่างๆ ได้อย่างกลมกลืน ถึงแม้ว่าบริเวณนี้เคยถูกนโยบายทางการเมืองในการขับไล่ผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณนี้ให้ออกจากพื้นที่ให้หมด ในช่วงการปกครองของซัดดัม ฮุสเซน แต่ชาวบ้านยังคงรักและหวงแหนในดินแดนถิ่นกำเนิดของตน ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จึงมีการอพยพของผู้คน ย้ายกลับมาสร้างถิ่นฐานบ้านเรือนกระจายอยู่หลายหมู่บ้าน โดยเฉพาะในบริเวณปากแม่น้ำชัฎ อัล อาหรับ (Shatt al-Arab River) อีกครั้ง ตามนโยบายการฟื้นฟูพื้นที่หนองน้ำของรัฐบาล ซึ่งเดิมทีบริเวณนี้มีผู้คนอยู่อาศัยมาตั้งแต่ 5,000 ปีที่แล้ว เชื่อได้จากการที่พบหลักฐานงานแกะสลักหินของชาวสุเมเรียน แหล่งน้ำขนาดมหึมาที่ถูกปกคลุมไปด้วยต้นกกจำนวนมากนี้ จึงนับเป็นบ้านของชาวอาหรับที่อาศัยหนองน้ำอยู่ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ซึ่งพวกเขาได้สืบทอดรักษาวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ยังชีพด้วยการตกปลา เลี้ยงควายน้ำ และการทอกก

  • เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน
  • นำท่านชม สวนอีเดน (Garden of Eden) ชม ต้นไม้ของอาดัม (Adam Tree) ในหมู่บ้านควอน่าร์ (Quana) ตามตำนานการเกิดมนุษย์คนแรกของโลก ที่ซึ่งอีฟ (Eve) ได้กินแอ๊ปเปิลต้องห้ามในสวนอีเดน ณ ที่แห่งนี้เป็นจุดบรรจบกันของสองแม่น้ำสายหลัก ที่เป็นต้นกำเนิดแห่งอารยธรรมมาแต่โบราณ นั่นคือ แม่น้ำไทกริส (Tigris River) และ แม่น้ำยูเฟรติส (Euphrates River) ได้เวลาสมควร นำท่านเดินทางกลับ เมืองบาสร่า
  • ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ ณ ภัตตาคาร / โรงแรม
  • พักที่ SHAMS AL BASRAH HOTEL โรงแรมมาตรฐาน 4 ดาว หรือเทียบเท่า
9

Day 9 : บาสร่า – โดฮา – กรุงเทพฯ

  • เช้า รับประทานอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
  • อิสระให้ท่านพักผ่อน และช๊อปปิ้งตามอัธยาศัยที่ ตลาดพื้นเมือง (Souq) เพลิดเพลินกับบรรยากาศของตลาดที่คึกคักและมีสีสัน

  • เที่ยง รับประทานอาหารกลางวัน
  • นำท่านออกเดินทางสู่ สนามบินเมืองบาสร่า เพื่อขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ
  • 16.20 น. ออกเดินทางสู่ เมืองโดฮา โดย สายการบิน Qatar Airways เที่ยวบินที่ QR 447
  • 17.45 น. เดินทางถึง สนามบินเมืองโดฮา รอต่อเครื่องที่สนามบิน
  • 20.25 น. ออกเดินทางสู่ กรุงเทพฯ โดย สายการบิน Qatar Airways เที่ยวบินที่ QR 830 รับประทานอาหาร และพักผ่อนตามอัธยาศัย
10

Day 10 : กรุงเทพฯ

  • 06.55 น. ถึง สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ
[/timeline]
วันเดินทาง
สายการบิน

สำรวจอิรัก 10 วัน 7 คืน

DEPARTURE/RETURN LOCATION สนามบินสุวรรณภูมิ  (ฺBKK)
DEPARTURE TIME โปรดเดินทางมาถึงอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง
INCLUDED
ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพฯ-แบกแดด, บาสร่า-กรุงเทพฯ โดยสายการบิน กาต้าร์ แอร์เวย์ ชั้นประหยัด
ค่าภาษีสนามบินทุกแห่ง และค่าประกันภัยสายการบิน
ค่าโรงแรมที่พัก ระดับมาตรฐาน (พักห้องละ 2 ท่าน)
ค่าอาหารทุกมื้อตามระบุ และค่าน้ำดื่ม วันละ 2 ขวด/ท่าน
ค่าพาหนะในการนาเที่ยว ตลอดการเดินทาง
ค่าธรรมเนียมเข้าชมสถานที่ต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในโปรแกรม
ค่าธรรมเนียมวีซ่า สำหรับหนังสือเดินทางไทย
ค่ามัคคุเทศก์ท้องถิ่น (พูดภาษาอังกฤษ) และหัวหน้าทัวร์คนไทย ตลอดการเดินทาง

ค่าทิปไกด์ท้องถิ่น, คนขับรถ พนักงานบริการ

ค่าประกันอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางในวงเงินท่านละ1,000,000บาทและค่ารักษาพยาบาลในต่างประเทศวงเงิน 500,000 บาท (ประกันไม่ครอบคลุมผู้ที่มีอายุตั้งแต่75ปีขึ้นไป)
NOT INCLUDED
ค่าทิปหัวหน้าทัวร์คนไทย วันละ USD 3 /ท่าน/วัน รวมเป็น 30 ดอลลาร์ ตลอดทริป หรือขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของท่าน
ค่าใช้จ่ายส่วนตัวอาทิ ค่าโทรศัพท์, ค่าซักรีด, ค่าเครื่องดื่มในห้องพัก และค่าอาหารที่สั่งมาในห้องพักค่าอาหารและเครื่องดื่มที่สั่งพิเศษในร้านอาหารนอกเหนือจากที่ทางบริษัทจัดให้ยกเว้นจะตกลงกันเป็นกรณีพิเศษ เช่น หากท่านทานได้เฉพาะอาหารทะเลเพียงอย่างเดียว ท่านต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม
ค่าทำหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต)
ค่าน้ำหนักของกระเป๋าเดินทางที่เกินกว่าสายการบินกำหนด (20 กก./1ใบ/ท่าน)
ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และภาษีหัก ณ ที่จ่าย 3%
ค่าธรรมเนียมน้ำมันของสายการบิน (หากมีการปรับขึ้น)
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้ในรายการ
ไม่มีแจกกระเป๋าหรือของพรีเมี่ยมต่างๆ
การชำระเงิน หากท่านสนใจและประสงค์จะเดินทาง กรุณาจองทัวร์และชำระเงินมัดจำล่วงหน้า 40,000 บาท/ท่าน (เพื่อเป็นการยืนยันการเดินทางของท่าน)
กรุณาชำระค่าทัวร์ส่วนที่เหลือล่วงหน้า 30 วัน ก่อนการเดินทาง หากท่านไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือตามวันที่กำหนด ทางบริษัทฯ ถือว่าท่านยกเลิกการเดินทางโดยไม่มีเงื่อนไขท่านสามารถโอนเงินเข้ำบัญชีของบริษัทฯ ดังรำยละเอียดดังนี้
การยกเลิก และการเปลี่ยนแปลง
ยกเลิกก่อนการเดินทาง 45 วัน  คืนค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ยกเว้นค่าวีซ่าที่ยื่นและตั๋วเครื่องบินที่ออกล่วงหน้าและกรุ๊ปที่เดินทางช่วงวันหยุดหรือเทศกาล (สงกรานต์ วันแรงงาน ช่วงเดือนตุลาคม และปีใหม่) ที่ต้องการันตี มัดจำกับทางสายการบินหรือกรุ๊ปที่มีการ การันตีค่ามัดจำที่พัก โดยตรงหรือโดยการผ่านตัวแทนในประเทศหรือต่างประเทศและไม่อาจขอคืนเงินได้)
ยกเลิกก่อนการเดินทาง 30-44 วัน  หักค่ามัดจำ 40,000 บาท + ค่าวีซ่า (ถ้ามี)
ยกเลิกก่อนการเดินทาง 10-29 วัน  หักค่ามัดจำ 40,000 บาท + ค่าใช้จ่ายอื่น (ถ้ามี)
ยกเลิกก่อนการเดินทาง 1-9 วัน  หักค่าใช้จ่าย 100% ของค่าทัวร์
หากมีการยกเลิกการจองทัวร์ หลังได้ทำการยื่นวีซ่าเรียบร้อยแล้ว บริษัทขอสงวนสิทธิ์ใน
การนำเล่มพาสปอร์ตไปยกเลิกวีซ่าในทุกกรณี ไม่ว่าค่าใช้จ่ายในการยื่นวีซ่าจะรวมหรือแยกจากรายการทัวร์ก็ตาม

ข้อมูลเกี่ยวกับวีซ่า

เอกสารประกอบการขอวีซ่า (ใช้เวลายื่น 15 วันทำการ)
1. หนังสือเดินทาง (Passport) หนังสือเดินทาง ต้องมีหน้าเหลือสำหรับประทับวีซ่าอย่างน้อย 2 หน้าต้องมีอายุการใช้งานเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับจากหลังวันเดินทาง หนังสือเดินทางห้ามชำรุด หรือขีดเขียนใดๆทั้งสิ้นภายในหนังสือเดินทาง (สำหรับท่านที่มีหนังสือเดินทางเล่มเก่า กรุณานำมาประกอบการยื่นวีซ่าด้วย เพื่อความสะดวกในการพิจารณาวีซ่าของท่าน)
2. รูปถ่าย รูปถ่ายสีหน้าตรงขนาด 1.5 x 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ (สัดส่วนใบหน้าโดยละเอียดเฉพาะใบหน้าสูง 3 ซม. วัดจากหน้าผากถึงคาง***) (ใช้รูปสีพื้นหลังขาวเท่านั้น ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือนและต้องไม่ซ้ำกับรูปวีซ่าที่มีในเล่ม สติ๊กเกอร์ใช้ไม่ได้, ห้ามสวมแว่นตาหรือเครื่องประดับ) และกรุณาเขียนชื่อ-นามสกุลตัวบรรจงไว้ด้านหลังรูป และให้ประกบด้านหน้าเข้าหากัน (กรุณาอย่าให้รูปเลอะหมึก และอย่าให้รูปมีรอยลวดเย็บกระดาษ เพราะสถานฑูตจะไม่รับรูปแบบนี้ ท่านอาจจะต้องถ่ายใหม่)
3. สำเนาทะเบียนบ้าน/บัตรประชาชน หรือ สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้าเคยเปลี่ยน)
4. หลักฐานการเงิน
– กรณีผู้เดินทางออกค่าใช้จ่ายเอง ใช้ Bank Statement บัญชีออมทรัพย์ ย้อนหลัง 6 เดือน ของผู้เดินทาง ขอจากทางธนาคารเท่านั้น ต้องเป็น Statement ตัวเต็มจากธนาคารเท่านั้น ไม่ใช่สำเนาจากสมุดบัญชี และ อัพเดทไม่เกิน 15 วันหรืออยู่ในเดือนที่ยื่นวีซ่าสถานทูตไม่รับพิจารณาบัญชีกระแสรายวัน และสถานทูตไม่รับพิจารณาบัญชีฝากประจำ
– กรณีผู้เดินทางไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายเอง ใช้สำเนา Bank Statement บัญชีออมทรัพย์(ของผู้ที่ออกค่าใช้จ่าย) ย้อนหลัง 6 เดือน
5. หลักฐานการทำงาน(ภาษาอังกฤษและมีอายุ 1 เดือน นับย้อนหลังจากวันนัดสัมภาษณ์)
– กรณีเป็นพนักงาน หนังสือรับรองการทำงานจากบริษัทฯ ระบุตำแหน่ง, เงินเดือน, วันเริ่มทำงานและช่วงเวลาที่อนุมัติให้ลาหยุด ต้องสะกดให้ตรงตามหน้าพาสปอร์ต
– กรณีเจ้าของกิจการ สำเนาใบทะเบียนการค้าและหนังสือรับรองการจดทะเบียนที่มีชื่อของผู้เดินทางเป็นกรรมการหรือหุ้นส่วน พร้อมทั้ง เซ็นชื่อรับรองสำเนาและประทับตราบริษัทฯ (อายุสำเนาไม่เกิน 3 เดือน)
– กรณีเป็นนักเรียน หรือ นักศึกษา ใช้หนังสือรับรองจากทางโรงเรียนหรือสถาบันที่กำลังศึกษาอยู่ (สถานทูตไม่รับเอกสารที่เป็นบัตรนักเรียน ไม่ว่าเป็นช่วงปิดเทอม และต้องมีอายุ 1 เดือน นับย้อนหลังจากวันนัดสัมภาษณ์) ต้องสะกดชื่อ-สกุล ให้ตรงตามหน้าพาสปอร์ต
6. กรณีที่เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ขอสำเนาสูติบัตร
กรณีเด็กไม่ได้เดินทางพร้อมผู้ปกครอง
(กรุณาขอ 2 ฉบับ เพื่อสำหรับยื่นวีซ่า 1 ฉบับ และอีก 1 ฉบับ รบกวนเตรียมมาวันเดินทางสำหรับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบิน)
– หากเด็กเดินทางไปกับบิดาจะต้องมีใบรับรองจากมารดา โดยมารดาจะต้องคัดจดหมายยินยอมให้บุตรเดินทางไปต่างประเทศกับมารดาโดยมีการรับรองค่าใช้จ่ายพร้อมแจ้งความสัมพันธ์และยินดีชดเชยค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยคัดฉบับจริงจากอำเภอต้นสังกัด พร้อมฉบับแปลภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งแนบสำเนาบัตรประชาชนหรือหน้าพาสปอร์ตมารดามาด้วย
– หากเด็กเดินทางกับมารดาจะต้องมีใบรับรองจากบิดา โดยบิดาจะต้องคัดจดหมายยินยอมให้บุตรเดินทางไปต่างประเทศกับมารดาโดยมีการรับรองค่าใช้จ่ายพร้อมแจ้งความสัมพันธ์และยินดีชดเชยค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยคัดฉบับจริงจากอำเภอต้นสังกัด พร้อมทั้งแนบสำเนาบัตรประชาชนหรือหน้าพาสปอร์ตบิดามาด้วย
– หากเด็กไม่ได้เดินทางทั้งกับบิดาและมารดา โดยบิดาและมารดาจะต้องคัดจดหมายยินยอมให้บุตรเดินทางไปต่างประเทศกับใคร โดยมีการรับรองค่าใช้จ่ายพร้อมแจ้งความสัมพันธ์และยินดีชดเชยค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยคัดฉบับจริงจากอำเภอต้นสังกัด พร้อมทั้งแนบสำเนาบัตรประชาชนหรือหน้าพาสปอร์ตบิดาและมารดามาด้วย พร้อมทั้งแนบสถานะทางการงานและการเงินของบิดาหรือมารดาเพื่อรับรองแก่บุตรด้วย
– กรณีเด็กที่บิดา-มารดาหย่าร้าง จะต้องแนบสำเนาใบหย่า และมีการสลักหลังโดยมีรายละเอียดว่าฝ่ายใดเป็นผู้ดูแลบุตรแต่เพียงผู้เดียว
– กรณีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี บิดา-มารดาลงชื่อรับรองในแบบฟอร์มสมัครวีซ่า
7. กรณีสมรสแล้ว สำเนาทะเบียนสมรส, สำเนาใบหย่า หรือ สำเนาใบมรณะบัตร (กรณีคู่สมรสเสียชีวิต)
เอกสารยื่นวีซ่าอาจมีการปรับเปลี่ยนและขออัพเดทเพิ่มเติมได้ทุกเวลา หากทางสถานทูตแจ้งขอเพิ่มเติม
*** ทางสถานทูตไม่ให้ดึงเล่มพาสปอร์ตในทุกกรณี หากลูกค้าจำเป็นต้องใช้พาสปอร์ตเดินทางในช่วงที่ยื่นวีซ่ากรุ๊ป ลูกค้าจะต้องไปแสดงตัวยื่นวีซ่าเดี่ยวเท่านั้นและต้องแนบตั๋วที่จะเดินทางก่อนหน้า
เพื่อแจ้งให้สถานทูตรับทราบ ***1

เงื่อนไขอื่นๆ

เอกสารประกอบการขอวีซ่า (ใช้เวลายื่น 15 วันทำการ)
1. หนังสือเดินทาง (Passport) หนังสือเดินทาง ต้องมีหน้าเหลือสำหรับประทับวีซ่าอย่างน้อย 2 หน้าต้องมีอายุการใช้งานเหลือไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับจากหลังวันเดินทาง หนังสือเดินทางห้ามชำรุด หรือขีดเขียนใดๆทั้งสิ้นภายในหนังสือเดินทาง (สำหรับท่านที่มีหนังสือเดินทางเล่มเก่า กรุณานำมาประกอบการยื่นวีซ่าด้วย เพื่อความสะดวกในการพิจารณาวีซ่าของท่าน)
2. รูปถ่าย รูปถ่ายสีหน้าตรงขนาด 1.5 x 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ (สัดส่วนใบหน้าโดยละเอียดเฉพาะใบหน้าสูง 3 ซม. วัดจากหน้าผากถึงคาง***) (ใช้รูปสีพื้นหลังขาวเท่านั้น ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือนและต้องไม่ซ้ำกับรูปวีซ่าที่มีในเล่ม สติ๊กเกอร์ใช้ไม่ได้, ห้ามสวมแว่นตาหรือเครื่องประดับ) และกรุณาเขียนชื่อ-นามสกุลตัวบรรจงไว้ด้านหลังรูป และให้ประกบด้านหน้าเข้าหากัน (กรุณาอย่าให้รูปเลอะหมึก และอย่าให้รูปมีรอยลวดเย็บกระดาษ เพราะสถานฑูตจะไม่รับรูปแบบนี้ ท่านอาจจะต้องถ่ายใหม่)
3. สำเนาทะเบียนบ้าน/บัตรประชาชน หรือ สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้าเคยเปลี่ยน)
4. หลักฐานการเงิน
– กรณีผู้เดินทางออกค่าใช้จ่ายเอง ใช้ Bank Statement บัญชีออมทรัพย์ ย้อนหลัง 6 เดือน ของผู้เดินทาง ขอจากทางธนาคารเท่านั้น ต้องเป็น Statement ตัวเต็มจากธนาคารเท่านั้น ไม่ใช่สำเนาจากสมุดบัญชี และ อัพเดทไม่เกิน 15 วันหรืออยู่ในเดือนที่ยื่นวีซ่าสถานทูตไม่รับพิจารณาบัญชีกระแสรายวัน และสถานทูตไม่รับพิจารณาบัญชีฝากประจำ
– กรณีผู้เดินทางไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายเอง ใช้สำเนา Bank Statement บัญชีออมทรัพย์(ของผู้ที่ออกค่าใช้จ่าย) ย้อนหลัง 6 เดือน
5. หลักฐานการทำงาน(ภาษาอังกฤษและมีอายุ 1 เดือน นับย้อนหลังจากวันนัดสัมภาษณ์)
– กรณีเป็นพนักงาน หนังสือรับรองการทำงานจากบริษัทฯ ระบุตำแหน่ง, เงินเดือน, วันเริ่มทำงานและช่วงเวลาที่อนุมัติให้ลาหยุด ต้องสะกดให้ตรงตามหน้าพาสปอร์ต
– กรณีเจ้าของกิจการ สำเนาใบทะเบียนการค้าและหนังสือรับรองการจดทะเบียนที่มีชื่อของผู้เดินทางเป็นกรรมการหรือหุ้นส่วน พร้อมทั้ง เซ็นชื่อรับรองสำเนาและประทับตราบริษัทฯ (อายุสำเนาไม่เกิน 3 เดือน)
– กรณีเป็นนักเรียน หรือ นักศึกษา ใช้หนังสือรับรองจากทางโรงเรียนหรือสถาบันที่กำลังศึกษาอยู่ (สถานทูตไม่รับเอกสารที่เป็นบัตรนักเรียน ไม่ว่าเป็นช่วงปิดเทอม และต้องมีอายุ 1 เดือน นับย้อนหลังจากวันนัดสัมภาษณ์) ต้องสะกดชื่อ-สกุล ให้ตรงตามหน้าพาสปอร์ต
6. กรณีที่เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ขอสำเนาสูติบัตร
กรณีเด็กไม่ได้เดินทางพร้อมผู้ปกครอง
(กรุณาขอ 2 ฉบับ เพื่อสำหรับยื่นวีซ่า 1 ฉบับ และอีก 1 ฉบับ รบกวนเตรียมมาวันเดินทางสำหรับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบิน)
– หากเด็กเดินทางไปกับบิดาจะต้องมีใบรับรองจากมารดา โดยมารดาจะต้องคัดจดหมายยินยอมให้บุตรเดินทางไปต่างประเทศกับมารดาโดยมีการรับรองค่าใช้จ่ายพร้อมแจ้งความสัมพันธ์และยินดีชดเชยค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยคัดฉบับจริงจากอำเภอต้นสังกัด พร้อมฉบับแปลภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งแนบสำเนาบัตรประชาชนหรือหน้าพาสปอร์ตมารดามาด้วย
– หากเด็กเดินทางกับมารดาจะต้องมีใบรับรองจากบิดา โดยบิดาจะต้องคัดจดหมายยินยอมให้บุตรเดินทางไปต่างประเทศกับมารดาโดยมีการรับรองค่าใช้จ่ายพร้อมแจ้งความสัมพันธ์และยินดีชดเชยค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยคัดฉบับจริงจากอำเภอต้นสังกัด พร้อมทั้งแนบสำเนาบัตรประชาชนหรือหน้าพาสปอร์ตบิดามาด้วย
– หากเด็กไม่ได้เดินทางทั้งกับบิดาและมารดา โดยบิดาและมารดาจะต้องคัดจดหมายยินยอมให้บุตรเดินทางไปต่างประเทศกับใคร โดยมีการรับรองค่าใช้จ่ายพร้อมแจ้งความสัมพันธ์และยินดีชดเชยค่าเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยคัดฉบับจริงจากอำเภอต้นสังกัด พร้อมทั้งแนบสำเนาบัตรประชาชนหรือหน้าพาสปอร์ตบิดาและมารดามาด้วย พร้อมทั้งแนบสถานะทางการงานและการเงินของบิดาหรือมารดาเพื่อรับรองแก่บุตรด้วย
– กรณีเด็กที่บิดา-มารดาหย่าร้าง จะต้องแนบสำเนาใบหย่า และมีการสลักหลังโดยมีรายละเอียดว่าฝ่ายใดเป็นผู้ดูแลบุตรแต่เพียงผู้เดียว
– กรณีเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี บิดา-มารดาลงชื่อรับรองในแบบฟอร์มสมัครวีซ่า
7. กรณีสมรสแล้ว สำเนาทะเบียนสมรส, สำเนาใบหย่า หรือ สำเนาใบมรณะบัตร (กรณีคู่สมรสเสียชีวิต)
เอกสารยื่นวีซ่าอาจมีการปรับเปลี่ยนและขออัพเดทเพิ่มเติมได้ทุกเวลา หากทางสถานทูตแจ้งขอเพิ่มเติม
*** ทางสถานทูตไม่ให้ดึงเล่มพาสปอร์ตในทุกกรณี หากลูกค้าจำเป็นต้องใช้พาสปอร์ตเดินทางในช่วงที่ยื่นวีซ่ากรุ๊ป ลูกค้าจะต้องไปแสดงตัวยื่นวีซ่าเดี่ยวเท่านั้นและต้องแนบตั๋วที่จะเดินทางก่อนหน้า
เพื่อแจ้งให้สถานทูตรับทราบ ***
วันเดินทาง
สายการบิน
Malwiya Minaret